หากมีพฤติการณ์แบบนี้ สามารถฟ้องหย่าได้หรือไม่
บทความคดีอาญา
คำพิพากษาฎีกาที่ 820/2559 โจทก์บันทึกข้อความหลายตอนลงในสมุดบันทึกที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความรักฉันชู้สาวกับชายอื่น ย่อมทำให้ครอบครัวแตกแยกขาดความปกติสุข อีกฝ่ายหนึ่งต้องมีความทุกข์มรมาน ถือว่าได้รับความเดือดร้อนเกินควร การกระทำดังกล่าวจึงถือว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีหรือภริยาอย่างร้ายแรง
ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1516 (6)
ในคดีแพ่งผู้ฟ้องคดีมีหน้าที่บรรยายข้อเท็จจริงอันเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาให้ชัดเจนเท่านั้น ส่วนการปรับบทกฎหมายแก่คดีเป็นหน้าที่ของศาล ดังนั้น แม้จำเลยที่ 1 จะอ้างเหตุหย่าตาม ป.พ.พ.มาตรา 1516 (1) แต่เมื่อข้อเท็จจริงแห่งคดีได้ความจากการสืบของทั้งสองฝ่ายถือเป็นเหตุหย่าตาม มาตรา 1516 (6) ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงแห่งคดีได้
จำเลยที 1 มีเจตนาโอนที่ดินซึ่งเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ อันเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ มีผลใช้บังคับได้ ที่ดินดังกล่าวจึงตกเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ตามมาตรา 1471 (3) ไม่ใช่สินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 อีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตามแม้ที่ดินเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ แต่เมื่อโจทก์ฟ้องขอให้แบ่งที่ดินแก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ศาลจึงไม่อาจพิพากษาเกินไปกว่าคำขอของโจทก์ได้ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 142
ตามฎีกานี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยไว้ตอนหนึ่งว่า สมุดบันทึกของโจทก์มีข้อความหลายตอนที่แสดงให้เห็นว่า โจทก์มีความรักฉันชู้สาวกับชายอื่น อาทิเช่น วันที่ 5 มีนาคม 2552 มีข้อความว่า “...คิดถึงเค้าจังวันนี้ทำผิดอีกแล้ว แอบส่ง m.(ข้อความ) ให้กับเค้า ...ขอให้รู้เถอะว่า ...เรื่อจริง...คือ ฉันรักเธอ... ต่อจากนั้นก็มีการติดต่อผ่านทางโทรศัพท์ตลอดเกือบทุกวัน
ในวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 โจทก์บันทึกว่า “..2 วันแล้วนะ...คุณไม่โทรเลย คิดถึงกันบ้างหรือปล่า สำหรับหนู ทุกลมหายใจ”
ในวันที่ 28 ในเดือนเดียวกันมีข้อความว่า “...วันนี้พี่อาคม...โทร...แต่ไม่ยอมพูดเป็นอะไรของเค้านะ...อยากรู้จังเลย...ถ้าคุณรักหนูสักครึ่งหนึ่งที่หนูรักเค้าบ้างก้อดี” นอกจากนี้สมุดบันทึก มีข้อความว่า มีผู้โทรศัพท์หาโจทก์เกือบทุกวัน โจทก์บันทึกผู้โทรศัพท์ เป็นภาษาอังกฤษว่า เออาร์ (ar) และเมื่อผู้โทรศัพท์เข้ามาดังกล่าวแล้ว ก็จะมีข้อความบันทึกเป็นทำนองเดียวกับข้อความข้างต้น ดังนั้น แม้ทางนำสืบของจำเลยที่ 1 จะฟังไม่ได้แน่ชัดว่าโจทก์มีชู้ แต่ข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ดังกล่าวนั้น ย่อมบ่งชี้ว่า ขณะที่โจทก์ยังเป็นภริยาของจำเลยที่ 1 โจทก์กลับมีใจรักใคร่ ลุ่มหลงชายอื่นฉันชู้สาว อันเป็นพฤติกรรมที่ขัดต่อขนบธรรมเนียมและประเพณีของสังคมไทย ซึ่งชายหญิงที่อยู่กินฉันสามีภริยาตามกฎหมาย ต้องซื่อสัตย์ รักใคร่ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน การกระทำของโจทก์ดังกล่าวย่อมทำให้ครอบครัวแตกแยกขาดความปกติสุข อีกฝ่ายหนึ่งต้องมีความทุกข์ทรมาน ถือว่าได้รับความเดือดร้อนเกินควร การกระทำดังกล่าว จึงถือได้ว่า เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรง
คำพิพากษาฎีกาที่ 467/2525 จำเลยที่ 1 มีความสำพันธ์ฉันชู้สาวกับจำเลยที่ 2 มาก่อนที่จะสมรสกับโจทก์ เมื่อจำเลยสมรสกับโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 ยังมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับจำเลยที่ 2 และยกย่องเป็นภรรยาออกหน้า ดังนี้โจทก์ฟ้องหย่าได้ และเหตุหย่าในกรณีนี้โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับค่าทดแทน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1523 วรรคแรก



