ปาร์ตี้ล่มเพราะสามล้อสกายแลป และแนวทางการต่อสู้คดีขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย , มีผู้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ
เรื่องเล่าคดีอาญา
แอดมินได้รับแจ้งจากลูกความท่านหนึ่งว่า ประมานเดือนพฤศจิกายน 2564 ได้ขับรถยนต์แล่นไปตามถนนสาธารณะสายเชียงยืน-ขอนแก่น มุ่งหน้าไปยังจังหวัดขอนแก่นเพื่อไปงานเลี้ยง ระหว่างทางมีรถสามล้อสกายแลปขับตัดหน้าออกมาจากหมู่บ้านเพื่อกลับรถ ทำให้รถทั้งสองคันชนกัน เป็นเหตุให้ผ้ขับขี่รถทั้งสองคันถูกตั้งข้อหาว่า ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ทรัพย์ผู้อื่นเสียหาย, มีผู้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจแต่ลูกความของแอดมินขอสู้สดใจครับว่า ไม่ได้ประมาทเพราะได้ใช้ความระมัดระวังเต็มที่แล้วจึงขอปฏิเสธและขอพิสูจน์ถึงความบริสุทธิ์ของตัวท่านเอง และวันนี้ความจริงที่รอคอยปรากฏแล้ว ศาลท่านได้โปรดมีคำพิพากษาว่า ลูกความของแอดมินท่านนั้นไม่ได้ขับรถยนต์โดยประมาทครับ มาดูแนวทางการต่อสู้และคำพิพากษาของศาลท่านกันครับ
พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยขับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน......มาตามถนนสายเชียงยืน-ขอนแก่น มุ่งหน้าจังหวัดขอนแก่น มีช่องเดินรถ 2 ฝั่ง ฝั่งละ 3 ช่อง จราจร เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุเป็นจุดกลับรถบ้าน.........มีช่องเดินรถสองฝั่ง ฝั่งละ 4 ช่องจราจร นายกอไก่ ขับรถจักรยานยนต์สามล้อ (สกายแลป) ออกจากซอยเข้าออกหมู่บ้าน..... ผ่านถนนสายเชียงยืน-ขอนแก่น มาอยู่ช่วงเดินรถที่ 3 รถยนต์และรถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกัน รถจักรยานยนต์สามล้อพลิกคว่ำอยู่ระหว่างช่องเดินรถที่ 3 และที่ 4 ตามแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุ เอกสารหมาย จ.5 และวัตถุพยาน หมาย วจ.1 รถยนต์ของจำเลยได้รับความเสียหายบริเวณด้านหน้า ตามภาพถ่ายหมาย จ.4 รถจักรยานยนต์สามล้อได้รับความเสียหายตามบันทึกการตรวจสภาพ เอกสารหมาย จ.13 นายกอไก่ได้รับบาดเจ็บที่หน้าผากและมีบาดแผลถลอกตามร่างกาย ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผล เอกสารหมาย จ.7 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนายกอไก่ ซึ่งเป็นคู่กรณีและประจักษ์พยาน เป็นพยานเบิกความว่า พยานขับรถจักรยานยนต์สามล้อออกจากปากทางหมู่บ้าน.....โดยให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวาเพื่อจะขับผ่านช่องเดินรถที่ 1 ถึงที่ 4 บนถนนเชียงยืน-ขอนแก่น แล้วเลี้ยวขวากลับไปทางอำเภอเชียงยืน พยานเห็นรถยนต์ของจำเลยแล่นมาตามถนนเชียงยืน-ขอนแก่น มุ่งหน้าไปทางจังหวัดขอนแก่นด้วยความเร็วสูง รถทั้ง 2 คันเฉี่ยวชนกัน พยานได้รับบาดเจ็บที่หน้าผากและมีบาดแผลถลอกตามผลชันสูตรบาดแผล เอกสารหมาย จ.7 แต่นายกอไก่ กลับเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า เมื่อพยานเห็นรถยนต์ของจำเลยขับมา พยานจึงเร่งความเร็วรถจักรยานยนต์สามล้อผ่านช่องเดินรถ 3 ช่องเพื่อเลี้ยวขวาไปทางอำเภอเชียงยืน

ถาพตัวอย่าง
เมื่อที่เกิดเหตุเป็นทางร่วมทางแยก ถนนสายเชียงยืน-ขอนแก่น เป็นทางเอก ส่วนถนนซอยเข้าออกหมู่บ้าน....เป็นทางโท ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 72 (4) รถยนต์ของจำเลยซึ่งเป็นทางเอกมีสิทธิขับผ่านไปก่อน เมื่อพิจารณาจากภาพเคลื่อนไหวจากกล้องหน้ารถ วัตถุพยานหมาย วจ.1 ในวินาทีที่ 25 รถจักรยานยนต์สามล้อของนายกอไก่ ขับตัดหน้ารถของจำเลยในระยะกระชั้นชิด ทั้งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยไม่อาจบังคับรถหลบไปทางอื่นได้ เพราะมีรถอื่นอยู่ในช่องเดินรถข้างเคียง ทั้งรถสามล้อเครื่องของนายกอไก่ ได้รับความเสียหายเล็กน้อยตามภาพถ่ายประกอบการสอบสวน และบันทึกตรวจสภาพรถ เอกสารหมาย จ.10 แผ่นที่ 3 และ จ.13 แสดงว่าการชนไม่แรง จำเลยไม่ได้ใช้ความเร็วสูง จึงเป็นการใช้ความระมัดระวังซึ่งบุคคลเช่นจำเลยพึงมีตามวิสัยและพฤติการณ์แล้ว จึงไม่ใช่การขับรถโดยประมาท ส่วนที่ร้อยตำรวจเอกขอไข่ พยานโจทก์เบิกความว่าก่อนถึงจุดเกิดเหตุมีป้ายจำกัดความเร็ว ไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามภาพถ่ายประกอบสำนวนการสอบสวน เอกสารหมาย จ.10 แผ่นที่ 2 ภาพบน ทั้งยังมีป้ายเขตชุมชนลดความเร็ว ป้ายโรงเรียน 150 เมตร ป้ายเตือนระวังรถชนท้าย ป้ายเตือนระวังคนข้ามถนน (โรงเรียน) และป้ายเตือนระวังสัตว์ ก่อนถึงที่เกิดเหตุ และพันตำรวจโทฮอนกฮูก พยานโจทก์ เบิกความว่า จำเลยให้การในฐานะผู้ให้ถ้อยคำและ ในฐานะผู้ต้องหาว่า ใช้ความเร็วรถ 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.17 และ จ.18 ซึ่งจำเลยให้การต่อหน้าทนายความ จึงรับฟังได้ว่าจำเลยใช้ความเร็วรถ 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเขตจำกัดความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อย่างไรก็ดีแม้ผู้ขับขี่ พึงใช้ความเร็วรถไม่เกินที่กฎหมายกำหนดจนกว่าจะมีป้ายสุดเขตบังคับหรือมีป้ายจำกัดความเร็วที่กำหนดความเร็วรถใหม่ และไม่ปรากฏว่ามีป้ายสุดเขตบังคับหรือป้ายจำกัดความเร็วรถใหม่ แต่การที่จำเลยใช้ความเร็วรถขณะเกิดเหตุ 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเขตจำกัดความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งเป็นจุดกลับรถและเป็นทางร่วมทางแยกก็เป็นเพียงการกระทำผิดกฎหมายในส่วนข้อกำหนดเกี่ยวกับการควบคุมความเร็วของรถตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกเท่านั้นเมื่อโจทก์มิได้มีคำขอให้ลงโทษในความผิดดังกล่าวจึงไม่อาจพิพากษาเกินคำขอได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง พิพากษายกฟ้อง
ทนายเอกรินทร์ เขียนแก้ว



