
หากดิฉันลักทรัพย์คุณไปจริงศาลท่านคงลงโทษฉันไปแล้ว
กรณีศึกษา จากเรื่องจริง สู้คดีลักทรัพย์อย่างไรให้ชนะ
หากดิฉันลักทรัพย์คุณไปจริงศาลท่านคงลงโทษฉันไปแล้ว
เป็นอีกเรื่องที่แอดมินอยากจะนำมาให้อ่าน เรื่องราวของหญิงสาวท่านหนึ่งที่ขับรถจักรยานยนต์ออกไปซื้อเนื้อวัว มาทำกับข้าวให้ครอบครัวได้กินในช่วงเช้าของเดือน มิถุนายน 2565 ระหว่างเดินทางรถเจ้ากรรมดันมาเสียอยู่หน้าบ้านของชายคนหนึ่งซึ่งต่อมาได้แจ้งความดำเนินคดีอาญาข้อหาลักทรัพย์กับเธอ
ในวันดังกล่าวขณะรถเสียอยู่หน้าบ้านของชายผู้เสียหายนั้น ผู้เสียหายได้เดินออกมาดูรถให้กับเธอและได้แจ้งกับเธอว่า ให้เอารถของผู้เสียหายไปซื้อของก่อนก็ได้ และให้ซื้อหัวเทียนมาเปลี่ยนรถจักยานยนต์ของเธอด้วย ก่อนที่จะนำรถของผู้เสียหายออกไปเธอได้ถามว่ามีทรัพย์สินหรือของมีค่าในรถหรือไม่ ผู้เสียหายบอกว่าไม่มี เธอจึงได้นำรถคันดังกล่าวไปซื้อของและนำกลับมาคืน แล้วกลับบ้านตามปกติ ต่อมาไม่นานมีหมายเรียกจากเจ้าพนักงานตำรวจและถูกฟ้องคดีในที่สุด
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 เวลากลางวัน จำเลยลักเงินสด 54,000 บาท และสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท 1 เส้น พร้อมพระเครื่อง 1 องค์ ราคา 28,200 บาท รวมเป็นเงิน 82,200 บาท ของผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ให้จำเลยคืนเงินสด 54,000 บาท และสร้อยคอทองคำพร้อมพระเครื่อง หรือใช้ราคา 82,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาผู้เสียหายยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าเสียหายในการเดินทาง 2,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของเงินสด 54,000 บาท และราคาสร้อยคอทองคำพร้อมพระเครื่อง 28,200 บาท นับแต่วันกระทำผิดเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
ศาลมีคำสั่งรับคำร้องเฉพาะในส่วนของดอกเบี้ย เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเดินทางและค่าเสียเวลาในการทำงานไม่ใช่ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย
จำเลยให้การในส่วนแพ่งว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้องของให้ยกคำร้อง
ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่าผู้เสียหายเก็บเงินสด 80,000 บาท และสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท 1 เส้น พร้อมพระเครื่อง 1 องค์ ไว้ในช่องเก็บของใต้เบาะรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 เวลาประมาน 9.00 นาฬิกา จำเลยขอยืมรถจักยานยนต์ไปทำธุระเสร็จแล้วนำกลับมาคืน ผู้เสียหายตรวจสอบทรัพย์สินที่เก็บไว้พบว่าเงินสด 54,000 บาท และสร้อยคอทองคำพร้อมพระเครื่องหายไป จึงสอบถามจำเลย จำเลยยินยอมชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายจำนวน 25,000 บาท โดยขอผ่อนชำระเป็นรายเดือนๆ ละ 2,000 บาท จากนั้นติดต่อจำเลยไม่ได้ผู้เสียหายจงไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับจำเลย ผู้ร้องนำสืบคดีส่วนแพ่งว่าการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายขอเรียกค่าสินไหมทดแทนเป็นดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ของเงินสด 54 ,000 บาท ราคาสร้อยคอทองคำพร้อมพระเครื่อง 28,200 บาท นับแต่วันกระทำความผิดเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง
จำเลยนำสืบว่า จำเลยยืมรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปซื้อหัวเทียนมาเปลี่ยนแทนหัวเทียนรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ชำรุดและซื้อเนื้อวัวไปให้สามีเสร็จแล้วนำรถจักรยานยนต์กลับมาคืนโดยไม่ได้ลักเงินสด 54,000 บาทและสร้อยคอทองคำพร้อมพระเครื่องของผู้เสียหายไป
พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และจำเลยแล้วข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ในเบื้องต้นว่า มีคนร้ายลักเงินสด 54,000 บาท และสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท 1 เส้น พร้อมพระเครื่อง 1 องค์ ราคา 28,200 บาท ของผู้เสียหายไป มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่าวันที่ 23 พฤษภาคม 2565 ผู้เสียหายนำสร้อยคอทองคำ 2 เส้นไปขายได้เงินมา 84,900 บาทจึงนำเงินสด 80,000 บาท ไปเก็บรวมไว้กับสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท 1 เส้นพร้อมพระเครื่อง 1 องค์ ในช่องเก็บของใต้เบาะรถจักรยานยนต์ ของผู้เสียหาย เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 เวลา 8:00 น ผู้เสียหายเปิดเบาะรถจักรยานยนต์ ตรวจสอบดูทรัพย์สินที่เก็บไว้ไม่มีทรัพย์สินใดสูญหายต่อมาเวลาประมาณ 9:00 น จำเลยขอยืมรถจักรยานยนต์ไปซื้อเนื้อวัวเสร็จแล้วนำกลับมาคืนโดยจอดรถจักรยานยนต์เสียบกุญแจรถคาไว้ที่เดิมในช่วงเย็นเวลา 17:00 น ผู้เสียหายตรวจสอบทรัพย์สินที่เก็บไว้พบว่าเงินสด 54,000 บาท และสร้อยคอทองคำพร้อมพระเครื่องสูญหายไป จึงสอบถามจำเลยจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่เป็นคนลักไปต่อมาจำเลยตกลงยินยอมชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหาย 25,000 บาท โดยขอผ่อนชำระเป็นรายเดือนเดือนละ 2,000 บาท แต่จำเลยชำระเงินให้แก่ผู้เสียหายเพียง 2,000 บาท
จากนั้นติดต่อไม่ได้ผู้เสียหายจึงไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลย
เห็นว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์มายืนยันถึงการกระทำความผิดของจำเลย แม้จำเลยเป็นคนเดียวที่ยืมรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปแต่จำเลยก็ไม่ทราบมาก่อนว่าผู้เสียหายเก็บทรัพย์สินมีค่าไว้ในช่องเก็บของใต้เบาะรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย คงมีแต่ตัวผู้เสียหายและนายกอไก่ หลานของผู้เสียหายเท่านั้นที่ทราบ ในวันเกิดเหตุช่วงเช้าก่อนที่จำเลยจะยืมรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปผู้เสียหายเพียงแต่เปิดเบาะรถจักรยานยนต์ดูทรัพย์สินที่เก็บไว้โดยไม่ได้นำทรัพย์สินที่เก็บไว้ทั้งหมดออกมาตรวจสอบและไม่ได้ตรวจนับเงินว่าครบตามจำนวนหรือไม่ กรณีจึงอาจเป็นไปได้ว่าเงินสด 54,000 บาทและสร้อยคอทองคำพร้อมพระเครื่องสูญหายไปตั้งแต่ก่อนวันเกิดเหตุแล้ว ครั้งหลังจากที่จำเลยนำรถจักรยานยนต์กลับมาคืนผู้เสียหายแล้วเสียบกุญแจคาไว้จนถึงช่วงเย็นที่ผู้เสียหายพึ่งมาตรวจสอบทรัพย์สินก็มีระยะเวลาห่างกันหลายชั่วโมง คนร้ายจึงอาจเป็นบุคคลอื่นที่อาศัยช่วงระยะเวลาดังกล่าวมารับเงินสดและสร้อยคอทองคำพร้อมพระเครื่องของผู้เสียหายไปก็ได้ เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอดตั้งแต่ชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา พยานหลักฐานโจทย์เท่าที่นำสืบมายังมีความสงสัยสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 227 วรรค 2
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในส่วนแพ่งว่าจำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้องหรือไม่เห็นว่า เมื่อศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยด้วยเหตุดังที่วินิจฉัยข้างต้นข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อผู้ร้อง
พิพากษายกฟ้อง
ทนายเอกรินทร์ เขียนแก้ว โทร : 063-137-0262








