คืนรถแล้วแต่ถูกบริษัทผู้ให้เช่าซื้อรถยนต์ฟ้องเรียกค่าขาดราคาหรือค่าเสียหาย สู้คดีอย่างไรให้ชนะหรือให้จ่ายเงินน้อยที่สุด
บทความคดีอาญา
คืนรถแล้วแต่ถูกบริษัทผู้ให้เช่าซื้อรถยนต์ฟ้องเรียกค่าขาดราคาหรือค่าเสียหาย สู้คดีอย่างไรให้ชนะหรือให้จ่ายเงินน้อยที่สุด
คดีนี้บริษัทผู้ให้เช่าซื้อรถยนต์ฟ้องเรียกค่าขาดราคา เป็นเงินจำนวน 280,647.50 บาท ค่าขาดประโยชน์ 24,332.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 304,969.86 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคา เนื่องจากโจทก์และจำเลยสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย โดยโจทก์ไม่มีหนังสือบอกเลิกสัญญามายังจำเลย ค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์ขอในอัตราเดือนละ 5,000 บาท เป็นการกล่าวอ้างลอยๆและสูงเกินส่วน หากนำรถคันให้เช่าซื้ออกให้เช่าจะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 3,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 จำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ ยี่ห้อ ....รุ่น....หมายเลขเครื่อง...จากโจทก์ในราคา 699,192 บาท ตกลงชำระค่าเช่าซื้องวดละเดือน เดือนละ 10,346.30 บาท รวม 72 งวด เริ่มงวดแรกวันที่ 5 ตุลาคม 2560 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 5 ของเดือนต่อไปจนกว่าจะครบ จำเลยชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ 22 งวด เป็นเงิน 213,642 บาท และผิดนัดตั้งแต่งวดที่ 23 ประจำวันที่ 5 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป ต่อมาโจทก์ได้ติดตามรถที่เช่าซื้อคืนมาและนำออกขายทอดตลอดได้เงิน 254,000 บาท เห็นว่า แม้ว่าข้อสัญญาว่าหากผู้ให้เช่าซื้อขายทรัพย์สินที่เช่าซื้อแล้วได้ราคาน้อยกว่าจำนวนหนี้คงค้างชำระตามสัญญา จำเลยตกลงรับผิดส่วนที่ขาดก็ตาม แต่ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อที่ 10.1 ระบุให้ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาได้ต่อเมื่อเช่าซื้อผิดนัดชำระราคาเช่าซื้อ 3 งวดติดต่อกัน และต้องบอกกล่าวให้ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระภายในเวลาอย่างน้อย 30 วัน นับแต่วันที่ผู้เช่าซื้อได้รับหนังสือ แม้โจทก์จะอ้างว่ามีหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยแล้ว ตามหนังสือบอกกล่าวฉบับลงวันที่ 27 ตุลาคม 2562 แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้ส่งหนังสือฉบับดังกล่าวไปยังจำเลยแล้ว จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยแล้ว การที่โจทก์ติดตามยึดรถคืนในวันที่ 29 ธันวาคม 2562 สัญญาเช่าซื้อจึงยังไม่เลิกกัน แต่การที่โจทก์ติดตามรถที่เช่าซื้อคืนได้ โดยจำเลยยินยอมส่งมอบคืน ถือว่าโจทก์และจำเลยต่างสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรคหนึ่ง โจทก์จงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาโดยอาศัยข้อสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อที่ระงับแล้วได้ ส่วนค่าเสียหายที่เป็นค่าขาดประโยชนก่อนฟ้องคดีนั้น เห็นว่า ค่าเสียหายที่โจทก์ขอมา 24,332.36 บาท เป็นจำนวนที่เหมาะสมแล้ว เห็นควรกำหนดให้ในจำนวนดังกล่าว ส่วนที่โจทก์ขอดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนั้น เมื่อหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้เงิน โจทก์จึงมีสิทธิคิดดิกเบี้ย เห็นควรกำหนดให้ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี
พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 24,332.36 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
ทนายเอกรินทร์ เขียนแก้ว โทร : 063-137-0262






