การกู้ยืมเงิน มีเพียงหลักฐานสลิปโอนเงิน เเละข้อความแชท LINE ก็เพียงพอจริงหรือไม่
การให้กู้ยืมเงินในปัจจุบัน ผู้ให้กู้จำนวนไม่น้อยมักละเลยการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะเชื่อว่าเพียงมีสลิปโอนเงินและข้อความแชท LINE ก็เพียงพอจะใช้เป็นหลักฐานได้ ทว่าความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนในฐานะทนายความฝ่ายจำเลยจะเล่าต่อไปนี้ ศาลพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากหลักฐานที่นำสืบของโจทก์ (ข้อความสนทนาทางแชท ไลน์) ยังไม่เพียงพอที่จะถือว่าเป็นสัญญากู้ยืมเงินตามกฎหมาย
เรื่องมีอยู่ว่า โจทก์ (ผู้ฟ้อง) อ้างว่าได้โอนเงินให้จำเลย 18 ครั้ง รวม 270,820 บาท โดยเชื่อว่านั่นคือการให้กู้ยืมเงิน และนำสลิปการโอนเงินพร้อมข้อความแชทจาก ไลน์ มายืนยัน ฝั่งจำเลยสู้คดีว่า “ไม่เคยกู้เงิน” และแชทที่ปรากฏก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องการยืมหรือการตกลงกู้ยืมเงินแต่อย่างใด
ประเด็นที่ศาลพิจารณา เมื่อพิจารณาข้อความจากแชทไลน์ ศาลพบว่า มีเพียงการพูดคุยทั่วไป เช่น “จะหาคืนให้หมด” หรือ “เรื่องเงินเดี๋ยวรักษาตัวก่อนแล้วค่อยเคลียร์” ซึ่งฟังดูคลุมเครือ และ ไม่ได้แสดงเจตนาชัดเจนว่ามีการกู้ยืมเงิน ที่สำคัญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วางหลักไว้ว่า หากเป็นการกู้เงินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป ต้องมี “หลักฐานเป็นหนังสือที่ผู้กู้ลงลายมือชื่อ” จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ แม้ปัจจุบันจะมีกฎหมาย พรบ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2544 ที่รับรองว่าเอกสารอิเล็กทรอนิกส์สามารถใช้แทนหนังสือได้ แต่ก็ยังต้องมีการ “ลงลายมือชื่อทางอิเล็กทรอนิกส์” ที่แสดงถึงเจตนาอย่างชัดเจน ซึ่งในกรณีนี้ ข้อความในไลน์ ยังไม่ถึงเกณฑ์นั้น
คำพิพากษา ศาลจึงเห็นว่าหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอที่จะพิสูจน์ว่าเป็นการกู้ยืมเงินกันจริง ไม่มีหลักฐานที่จำเลยยอมรับสภาพหนี้ไว้ ศาลจึงพิพากษา ยกฟ้อง
ข้อคิดจากคดี
- การโอนเงินให้ใคร ไม่ใช่หลักฐานว่าฝ่ายนั้น “กู้เงิน” เสมอไป อาจถูกตีความว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้เปล่าได้
- หากต้องการให้ปลอดภัย ควรทำสัญญากู้ยืมเงินเป็นลายลักษณ์อักษร หรืออย่างน้อยให้ผู้กู้ส่งข้อความยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรที่แสดงเจตนา “ยืมและจะคืน” อย่างชัดเจน
- อย่าหวังพึ่งแค่สลิปโอนหรือแชทสั้น ๆ เพราะในชั้นศาลอาจไม่เพียงพอ






